วัฒนธรรมการดูละคร
ก่อนอื่น มีอยู่สองสิ่ง สองคำ ที่ต้องพิจารณา คือคำแรก การดูละคร กับอีกคำที่สำคัญทีเดียวคือ วัฒนธรรม ทีนี้พอเอามารวมกันเป็นคำเดียว ความรู้สึกของเราขณะนี้มันดันไป ห้วนอยู่ที่การดูละครเป็นอย่างไร ต้องเข้าแถว เข้าคิวทยอยกันเข้าไปดู ดูละคร ดูจบกลับบ้าน ก็แค่นี้ ทั้งๆที่มันมีอีกตั้งเยอะแยะที่อยู่ภายใต้วัฒนธรรมการดูละคร ดูอย่างเดียว ไม่มีวัฒนธรรม ก็เท่ากับเป็นพวกสะสมความรู้หรือไม่ก็พวกที่คิดไม่เป็น จึงต้องพึ่งมหรสพเป็นที่หาความสนุกของชีวิต วัฒนธรรมก็คือรูปแบบการดูละคร ก็คือการเข้าถึงความรู้ รวมกันก็คือรูปแบบการเข้าถึงความรู้จากการดูละคร ช่วงนี้สำคัญอ่านทวนหลายๆเที่ยวให้เข้าใจ ให้เหมือนกับ ทำไม นโม ต้องท่องสามจบ เพราะมันสำคัญ การเข้าถึงก็คือการแสวงหานั่นเอง การเข้าถึงหรือการแสวงหาความรู้จึงเป็นเรื่องของปัญญา เพราะเมื่อเข้าถึงมันจึงรู้ว่า อะไรเป็นอะไร เพราะอะไร เพื่ออะไร อย่างไร ต่างจากการสะสมความรู้ที่ยิ่งแบกไว้มากๆก็ยิ่งโง่ ที่น่าสังเกตก็คือพวกโง่ที่คิดไม่เป็นชอบตู่เอาไอ้พวกปาหี่ มหรสพที่ตัวเองหลงใหลคลั่งไคล้นั้นเป็นละคร จึงทำให้การสร้างวัฒนธรรมการดูละครเป็นเรื่องยาก แทบจะเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะมองไปทางไหน ก็เจอแต่มหรสพ เต็มไปหมด แม้แต่ในแหล่งความรู้ที่ต้องอุดมไปด้วยปัญญา แต่กลับเต็มไปด้วยกิจกรรมมหรสพ หรือพูดง่ายๆคือกิจกรรมโง่ๆ ที่คนให้ทำโง่กว่าเพราะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ปัญญาทึบกันทั้งคนทำและคนให้ทำ ทุกวันนี้จึงเกิดวัฒนธรรมการสะสมความรู้ขึ้น รูปถ่ายของกิจกรรมโง่ๆเหล่านั้นจึงได้รับการบรรจงจัดไว้ในแฟ้มในไฟล์อย่างสวยงามเพื่ออวดกัน อย่าให้ต้องบอกนะว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง ถ้าไม่รู้จริงๆก็ขอให้มองไปที่ชั้นวางของในบ้าน ไอ้ถ้วยรางวัล ใบประกาศเกียรติคุณ ประกาศนียบัตร โล่ที่ตั้งตระหง่านอวดศักดาเราทั้งหลายนั่นแหละ ที่เราสะสมไว้บนหิ้ง บนฝานั่นแหละคือรูปธรรมของวัฒนธรรมการสะสมที่เห็นกันได้ง่ายๆ มันน่าขันสิ้นดีที่มีแต่คนชอบอวดอ้างความโง่กันจนแพร่หลายไปทั่วทุกหัวระแหง บ้านใครไม่มีปริญญาของลูกติดข้างฝานับว่าน่าอับอาย ทั้งๆที่ปริญญาที่ได้มานั้นได้มาจากการสะสมความรู้ ก็บอกแล้วไงว่ายิ่งสะสมก็ยิ่งปัญญาทึบ ท่าน กฤษณามูรติพูดไว้นานแล้ว ซึ่งก็จริงอย่างที่ท่านว่า กว่าจะจบวิชาการเกษตรมาได้ต้องสะสมไม่ต่ำกว่าร้อยหน่วยกิต เมื่อจบมาแล้วดันกลับทำนาไม่เป็น ทั้งที่ตระกูลนี้ทำมาหลายชั่วอายุคน หรือ นักระนาดอดออมส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปเรียนหนังสือ กว่าจะสะสมหน่วยกิตวิชาดนตรีได้สำเร็จก็ล่อไปหลายปี ปริญญาก็บอกโต้งๆว่าจบมาทางด้านดนตรี แต่ทำไมตีระนาดสู้พ่อไม่ได้ เรียกว่าตีออกงานไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องให้ไอ้เปี๊ยกเด็กข้างบ้านที่แอบมาซ้อมระนาดทุกวันโดยไม่ได้เชิญต้องตีออกงานแทน ก็แลกกันไประหว่างความรู้จริงกับปริญญาสมมุติที่ติดข้างฝา ก็เป็นที่ชัดเจนมากขึ้นทุกวันว่ายิ่งเรียนในระบบที่เป็นไปแบบทุกวันนี้คนเรียนยิ่งโง่ อย่าว่าแต่จบหกเลย เด็กมหาวิทยาลัยสมัยนี้ก็อ่านหนังสือไม่แตกกันทั่วประเทศแล้ว มันเป็นเรื่องน่าหัวร่อสิ้นดี นี่ไม่ต้องพูดถึงปัญหาอื่นๆที่ตามมาจากการสะสมความรู้นะ ไม่ว่าเรื่องเพศ ที่สามารถหาความสุขได้ทันที ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องรอเรียนจบ เรื่องยาเสพติดที่พอเสพแล้วขึ้นสวรรค์ได้ทั้งเป็นในบัดดล เรื่องการบริโภควัตถุต่างๆที่ตามมา มันล้วนแต่เป็นเรื่องของการสิ้นคิดหรือคิดไม่เป็นกันทั้งนั้น ไม่ต้องไปโทษว่าปัญหามาจากผู้ปกครองที่ไม่มีเวลาเลี้ยงดู โทษสิ่งยั่วเย้าต่างๆ ปัดโธ่ เอ้ย..แท้ที่จริงแล้วต้นตอมันอยู่ที่การดูละครหรือที่เรียกให้สวยหรูว่า วัฒนธรรมการดูละครนี่แหละ กล้าพูดเลยว่าที่ไหนมีวัฒนธรรมนี้ ที่นั่นจะเต็มไปด้วยนักคิด คนก็มีความสุขได้ไม่ยาก แค่คิดก็สุขแล้ว ปัญหาต่างๆก็ไม่เป็นปัญหา เรื่องราวที่มีอยู่ในละครนี่ล่ะ คือทำเลฝังสิ่งที่คนดูแสวงหา นั่น..ชี้ชัดเลยว่าละครเป็นเรื่องของการแสวงหาความรู้ เพราะสิ่งที่ฝังไว้ก็คือตัวความรู้ เอาล่ะ ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป ว่ามันจริงแท้แค่ไหน อย่ากระพริบตา ก่อนอื่นต้อง ขอฝากคำพูดของท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ที่ว่า ให้พวกเราตระหนักถึงหายนะ และให้รณรงค์อย่างแข็งกร้าวให้เกิดวัฒนธรรมการแสวงหาความรู้ ท่านใช้คำว่า “อย่างแข็งกร้าว” ก็แสดงว่าสถานการณ์มันหนักข้อทีเดียว และประโยคสำคัญที่ท่านกฤษณามูรติ นักการศึกษา นักคิด ชาวอินเดียว่าไว้ว่า การแสวงหาความรู้ทำให้เกิดปัญญา ส่วนการสะสมความรู้ทำให้ปัญญาทึบ ขอฝากสองความคิดหลักจากสองปราชญ์นี้ไว้เป็นพื้นฐานให้แน่นก่อนแล้วกัน