A PART OF MY LIFE

A PART OF MY LIFE
เป็นเวปในฝัน ที่ทำเพื่อ "บูชาครูการละคร" ทั้งหลายที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาศิลปการละครให้แก่ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าได้นำความรู้เหล่านั้นมาหากินเลี้ยงชีพมาตราบจนทุกวันนี้ เช่น ครูใหญ่ อ.สดใส พันธุมโกมล,ครูช่าง อ.ชนประคัลภ์ จันทร์เรือง,ครูแอ๋ว อ.อรชุมา ยุทธวงศ์,ครูอุ๋ย อ.พรรัตน์ ดำรุง,พี่อี๊ด สุประวัติ ปัทมสูต,อารอง เค้ามูลคดี,อาโต รัชฟิล์ม และอีกหลายๆท่าน โดยนำคำสอนของบรรดาครูทั้งหลาย และเหล่าพี่น้องภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาถ่ายทอดให้แก่ผู้ที่รัก "ละครเวที" ครับ

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คำถามจากผู้อ่าน

น้องจุฑาทิพย์ จำบาลได้เขียนคำถามมา ดังนี้
สวัสดีค่ะ
ขอรบกวนคำถามอีกครั้งนะคะ เกี่ยวกับบทละครเรื่อง GHOST กับเรื่อง MISS JULIE
อยากจะถามว่า จุด CLIMAX ของบทละครของทั้งสองเรื่องนี้ อยู่ตรงไหนคะ
และเรื่อง MISS JULIE ตัว JULIE เป็นคนแบบไหนกันคะ สาเหตุที่เขาเป็นแบบนั้นเพราะอะไร ดิฉันคิดว่า มีหลายสาเหตุ ทั้งตัวผู้เขียน และจิตวิทยา แต่ไม่รู้ว่า จะเรียบเรียงให้เป็นลำดับได้อย่างไร
ช่วยตอบคำถามที่คาใจให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

ผมก็เลยให้น้องๆที่เคยเล่น และเคยกำกับละครเรื่องนี้เป็นผู้ตอบครับ

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

การเขียนบทแบบง่ายๆ ตอนที่ ๒

การเขียนบทแบบง่ายๆ ตอนที่ ๒
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน หลายท่านคงรู้สึกอึดอัดใจ และก่นด่าผมว่า มาทำให้เครียดและทำให้อยากรู้อีก
ขณะที่เขียน ผมก็พิมพ์ไป จามไป รู้สึกเหมือนถูกก่นด่าตลอดเวลา
เรามาเล่าเรื่องราวกันต่อดีกว่าครับ
คราวที่แล้วเราพูดกันถึงเรื่องที่ว่า ทำไมเราถึงกลัวที่จะเล่า “เรื่องที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้”

แต่เราก็ยังก็รู้สึกผิด และอยากจะเล่าให้ “ใครสักคน” ฟัง
แต่ “ใครสักคน” ในที่นี้ หมายถึง คนที่เราอยากเล่าให้ฟังที่สุด
“เพียงคนเดียว"
ครูบอกว่า ถ้ามันเล่าเรื่องได้ง่ายๆ ป่านนี้เราคงเดินเข้าไปหาคนๆนั้นแล้วก็บอกว่า

เฮ้ยกูมีเรื่องที่ทำเลวกับมึงไว้ คือเรื่องนี้นะ
พอเล่าจบแล้วเพื่อนหัวเราะแล้วกอดคอพาเราไปเลี้ยงเหล้า มันก็ดีสิ
แต่ในชีวิตจริง คนเรามีความกลัว กลัวไปต่างๆนานา แต่กลัวคนที่จะรู้เรื่องเลวๆของเรา ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
สิ่งเหล่านี้มันเหมือนตราบาปที่ติดตามตัวเรา เราจะรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่นึกถึง
เมื่อมันทำให้ไม่สบายใจ เราก็ต้องหาทางออก เราก็จึงต้องหาทางเล่า ต้องหาทางระบาย
เลยมีการเขียนเป็นเรื่องราวขึ้นมา
โดยเรื่องราวนั้นมีการเล่าเรื่องที่ “เป็นความจริงที่ไม่ต้องสร้างเสริมเติมแต่งขึ้นมา”
เพราะเป็นเหตุการณ์จริงๆที่เกิดขึ้นกับเรามาแล้ว ตัวละครก็ไม่ต้องสร้าง เพราะตัวละครนั้น ก็มีอยู่จริงในชีวิตเรา
ตัวละครทุกตัวจะมี เหตุ และ ผล การกระทำนั้นจริงๆ
เพราะฉะนั้นการเขียน “เรื่องที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้” เป็นบทละครนั้น เป็นการเขียนบทละครที่ง่ายที่สุด
จะเรียกว่า เขียน ก็ไม่เชิง อาจเรียกได้ว่า เล่าเรื่องที่ผ่านมาแล้ว
เพราะเราจะจำภาพเหตุการณ์ต่างเกิดขึ้นได้เป็นฉากๆ เราจะจำ DIALOGUE ทุกคำของตัวละครทุกตัว
เราจะรู้ถึงเหตุและผลของคำพูดและการกระทำนั้นๆ ของแต่ละตัวละคร
แต่จะเล่าโดยวิธีไหน เล่าอย่างไรนั้น อยู่ที่วิธีของผู้เขียนที่จะนำเสนอ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเล่าเรื่องนี้คือ เราต้องคิดก่อนว่า เรื่องที่เราจะเล่านั้น

“ใครเป็นคนที่รับฟังไม่ได้ที่สุด” เพราะอะไร
แต่เราต้องหาทางเล่าให้คนๆนั้นฟังให้ได้ และทำไมเราถึงต้องเลือกที่จะเล่าให้เขาฟังเพียง “คนเดียว”
และคิดว่า เมื่อเขาได้รับรู้และรับฟังเรื่องราวนี้แล้ว เขาจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนั้นๆ
และคิดว่า เขารู้สึกกับเราอย่างไร
ในการเขียนบทละคร เราต้องยึดหลักของ “แก่นของเรื่อง” หรือ THEME

เมื่อเรามาทบทวนถึงเรื่องเลวๆของเราที่ต้องเล่าแล้ว
ก็มาดูว่า เรื่องของเรา มันจะเข้า THEME ว่าอย่างไร
วิธีคิด THEME ของครูก็ง่ายๆ คือมีสองคำ แค่คำว่า “อย่า” กับ “จง”

และถ้าเราจำพวกสุภาษิตคำพังเพยได้ ก็เอาไปเปรียบเทียบกันก็ได้
หลายท่านอาจนึกในใจว่า อ๋อ....ใช่สิ ที่แกว่ามันง่ายเพราะแกเรียนมานี่

ส่วนชั้นเพิ่งเรียนและยังไม่เข้าใจ ถึงต้องมาอ่านบทความแกอยู่นี่ไง
อ้าว....อย่างน้อยสำนวนสุภาษิต หรือคำพังเพยของไทยนั้น ผมเชื่อว่าทุกคนต้องรู้จักบ้าง ไม่มากก็น้อย
แล้ว THEME ของเรื่องที่เราอยากเล่า มาจากไหน
ก็มาจากเหตุผลที่ว่า เราอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังที่สุด เพราะอะไร
เหตุผลที่แท้จริงที่เราอยากเล่าให้ฟังนั่นแหละ คือ THEME
และเราก็จะมี "ความจริงใจ" กับ THEME นั้นๆ
และ THEME ที่ว่านั้น เป็นสิ่งที่เราอยากบอกคนๆนั้น ว่า “อย่า” กับ “จง” อะไร
เพราะเราสามารถเปรียบเทียบคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ว่า
จงดำรงตนเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น และตนเอง
ละครที่เราดู ส่วนมากจะผู้เขียน จะบอกอะไรแก่ผู้ชมเสมอ ไม่ได้บอกตัวกับตัวผู้เขียนเอง
เมื่อผู้ชมได้ดู หรือได้รับรู้ NEED TO EXPRESS ของผู้เขียนแล้ว
ผู้ชมก็จะสามารถสัมผัส หรือ รับรู้ THEME ที่ผู้เขียนต้องการสื่อสารได้โดยปริยาย
แต่ครูอยากให้คิดวิธีการนำเสนออย่างไม่มีข้อจำกัด
หมายถึง การสารภาพ หรือการเล่าเรื่อง หรือการนำเสนอนั้น ไม่จำเป็นต้องนำเสนอในรูปแบบของละครเสมอไป
ในแง่ของศิลปะ อะไรที่ศิลปินต้องการสื่อสาร หรือต้องการบอกบางอย่างแก่ผู้ชม
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถือเป็นงานศิลปะทั้งสิ้น
เราอาจเล่าเรื่องเลวๆของเรา ด้วยการเขียนบทกวี ด้วยการแต่งเพลง

ด้วยการเต้น TEMPOLARY DANCE ด้วยการวาดรูป ด้วยการแกะสลัก หรือด้วยวิธีการใดๆก็ได้
ขอให้ยึดมั่นใน “เรื่องเลวๆที่สุดของเรา” ที่อยากจะเล่า ที่จะเล่าให้ใครที่ฟังไม่ได้ที่สุดฟังแค่คนเดียว

โดยคิดว่า ทำไมถึงต้องตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง แล้วเมื่อเขาฟังแล้ว จะรู้สึกอย่างไร
อย่างน้อยเป็นการกล่าวคำว่า ขอโทษ หรือเสียใจ ผ่านกระบวนการนำเสนอนั้นๆ
ง่ายไหมครับ

หากยังไม่เข้าใจถ่องแท้
สามารถอ่านบทความเรื่อง
PERSONAL TOUCH ประกอบได้ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

ตอบคำถามเรื่อง MACBETH

ตามที่ผู้อ่านคุณจุฑาทิพย์ จ่าบาล ได้มี E MAIL มาถามผม
ผมก็ไม่อยากตอบคนเดียว เลยให้ครู พี่ๆ น้องๆ ช่วยกันวิเคราะห์
และช่วยกันตอบ เพราะอยากดูหลายมุมมอง
คำถามมีดังนี้ครับ


จากการที่ดิฉันได้อ่านเว็บไซต์ของคุณชาญวุฒิ พรหมสาขา ณ สกลนคร ดิฉันชอบมากเพราะดิฉันได้เลือกเรียนปริญญาตรี เอกการละครเวที ดิฉันได้อ่านและเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการละครของคุณชาญวุฒิ พรหมสาขา ณ สกลนคร ที่ได้เขียนไว้ และนำไปเปรียบเทียบ เป็นตัวอย่างพอที่จะสามารถตอบคำถามของครูที่สอนเมื่อยิงคำถามมาได้ ดิฉันขอรบกวนถามคำถามคุณชาญวุฒิ พรหมสาขา ณ สกลนคร ในการเรียนเกีี่ยวกับการวิเคราะห์บทละคร เรื่องแมคเบธนะค่ะ เมื่อดิฉันอ่านบทละครเรื่องแมคเบธจบคำถามที่ฉุดคิดขึ้นมาในหัวเป็นอันดับแรก เลยคือ ทำไม?เลดี้แมคเบธ ถึงใจกล้าเหมือนผู้ชายยุให้แมคเบธฆ่าดันแคน โดยที่ตัวแมคเบธเป็นผู้ชายแท้ๆยังไม่มีจิตใจลังเลที่จะฆ่าคิง เป็นอิทธิพลของเชคสเปียร์ หรือเปล่าที่สร้างตัวละครแบบนี้ หรืออย่างไร? ถ้าคุณไม่รังเกียจ และพอจะตอบคำถามให้ดิฉันได้ เป็นการคลายความสงสัย จะขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ.

น้องวิตตี้ รุ่นน้องอักษร ได้กรุณาตอบมาเป็นคนแรกครับ
หวังว่าคำตอบที่พวกเราช่วยตอบ จะมีประโยชน์กับผู้อ่าน ไม่มากก็น้อย
และขอขอบคุณน้องๆที่ช่วยกันตอบ ช่วยกันจรรโลงการละครไทยครับ
มาอ่านคำตอบของน้องวิ๊ตตี้กันนะครับ


โอ้โหถามยากจัง ถ้าจำไม่ผิดได้เรียนเชคสเปียร์กับอ.พจีมั้งคะ นานมากกกแล้ว จะพยายามตอบเท่าที่จำได้นะคะ ครูใหญ่ชอบยกตัวอย่างเลดี้แมคเบธบ่อยมาก เพราะเลดี้แมคเบธเป็นตัวละครหญิงที่โดดเด่น แข็งแกร่ง ลืมไม่ลงของเชคสเปียร์ อย่างแรกเลยนะคะ บทละครจองเชคสเปียร์พิเศษ เพราะมีตัวละครที่เป็นอมตะ ความเป็นอมตะในที่นี้หมายถึงตัวละครของเชคสเปียร์เป็นตัวแทนของมนุษย์จริงๆ ที่คนทุกยุคทุกสมัยเข้าใจได้ ตัวละครของเชคสเปียร์มีลักษณะที่เรียกว่า "Tragic Hero" คือคนที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็มีข้อเสียร้ายแรงที่นำไปสู่จุดจบแบบโศกนาฏกรรม อย่างแมคเบท ยิ่งใหญ่ เก่ง แต่ไม่มั่นใจในตัวเอง อ่อนแอ จนทำให้ตัวเองมีจุดจบอย่างที่เป็น ในส่วนของเลดี้แมคเบธก็เหมือนกัน สง่างาม แข็งแกร่ง ดูเผินๆ เหมือนเป็นคนโหดเหี้ยม ใจกล้ายิ่งกว่าผู้ชาย อย่างที่น้องบอก แต่การเรียนละครสอนพี่มาว่า สิ่งแรกที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งคือเราต้องดูที่แรงผลักดันของตัวละคร "Motivation" อันนี้สำคัญมาก เพราะมันจะเป็นตัวอธิบายเหตุผลทั้งหมดว่าทำไมตัวละครถึงเป็นเช่นนั้น บทละครที่ดี ทุกอย่างมีที่มาที่ไป ไม่ใช่เพราะ "คนเขียนนึกอยาก" แต่มีความจริงที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของตัวละคร อย่างเลดี้แมคเบท เธอเป็นคนมีความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง เธอรักสามีและคิดว่าการที่เขาจะได้ขึ้นเป็น "คิง" จะเป็นผลดีกับทั้งคู่ แต่เธอก็รู้ว่าสามีเธอมีจุดอ่อน เขาต้องไม่ทำแน่ เธอต้องกดดันให้เขาทำในสิ่งที่เธอเชื่อว่าจะเป็นผลดีกับทั้งคู่ ความที่เป็นคนฉลาด และรู้จุดอ่อนของสามี จึงนำตรงนั้นมาใช้ ด้วยการพูดจี้จุดเรื่องความเป็นชาย จนในที่สุดแมคเบธยอมทำ แต่...เลดี้แมคเบธไม่ได้มีแต่ความโหดร้ายด้านเดียว เธอรู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปจะทำให้เธอรู้สึกผิด มีหลายครั้งที่เชคเปียร์บอกเป็นนัยไว้ เช่นที่เธอบอกว่าเธอลงมือฆ่าเองไม่ได้ เพราะตอนคิงดันแคน (ใช่มั้ยนะ) หลับหน้าเหมือนพ่อของเธอเอง เธอพยายามทำใจแข็ง เอาชนะความรู้สึกผิด แต่สุดท้ายก็พ่ายความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ จนนำไปสู่ฉากล้างมือสยอง และการฆ่าตัวตายเพื่อหนีความรู้สึกผิดในตอบจบ พี่ๆ น้องๆ คนอื่นๆ ว่ายังไงคะ นี่เป็นความรู้เก่าเมื่อ... นานมาแล้ว หวังว่าคงจะมีประโยชน์บ้างนะคะ ยังไงต้องค้นคว้าเพิ่มเติมนะคะ
ผู้ตอบ Wittayanipa
ชื่อตามกฎหมาย วิทยานิพา ปาละนันทน์ ค่ะ
แต่อยากให้เครดิตคุณครูอักษรฯ ทุกท่านมากกว่า เพราะถ้าไม่ใช่เพราะครูทุกท่าน ความรู้ก็คงไม่ฝังหัว ฝังใจขนาดนี้
น้อง Chawalak Wiangwises มีความเห็นว่า
"โดยทางจิตวิทยาแล้วผู้หญิงที่มักใหญ่ใฝ่สูงจะต้องมี drive ที่แรงกว่าปกติหลายเท่า
จึงไม่แปลกใจเลยเลยที่ Lady Macbeth จะยุให้ Macbeth ฆ่า
ในทางด้านวัฒนธรรม หลายๆสังคมมักจะคิดว่าผู้หญิงเป็นสิ่งที่ไม่ดี
เช่นสังคมตะวันตก อาดัมถูกขับจากสวรรค์เพราะอีฟ (ดัน) ไปกินแอ๊ปเปิ้ล
สังคมจีน มีลูกผู้หญิงเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน
สังคมไทย สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร"